ประชุมระดมความคิดเห็น เรื่อง "เปิดประตูการค้าการลงทุน ผ่าน FTA ไทย-UAE"

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช นายกสมาคมฯ คุณเสาวนีย์ คำแฝง ผู้อำนวยการสมาคมฯ และคุณกรวิชญ์ ทุมมานนท์ เจ้าหน้าที่สมาคมฯ เข้าร่วมประชุมระดมความคิดเห็น เรื่อง "เปิดประตูการค้าการลงทุน ผ่าน FTA ไทย-UAE" ผ่านระบบ ZOOM Cloud Meetings จัดโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

 

ไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 โดย FTA มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการค้าและการลงทุนทวิภาคีโดยขจัดภาษีศุลกากรและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี ตลอดจนปรับปรุงความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น มาตรฐาน ศุลกากร และกฎระเบียบทางเทคนิค

 

การค้าระหว่างไทย-UAE มีมูลค่าประมาณ 5.9 พันล้านดอลลาร์ โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำตาลทราย ยางพารา ผักและผลไม้กระป๋องแปรรูป และอาหารทะเล สินค้านำเข้าที่สำคัญจาก UAE ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ที่ผ่านมาไทยขาดดุลการค้ากับ UAE

 

FTA ไทย-UAE ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วน รวมถึงสินค้า บริการ การลงทุน สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล และ E-Commerce นอกจากนี้ยังรวมถึงบทบัญญัติที่มุ่งคุ้มครองนักลงทุนและประกันการไหลเวียนของเงินทุนอย่างเสรี อีกทั้งยังช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศในการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุน รวมถึงมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปในภาคต่างๆ เช่น การเกษตร การแปรรูปอาหาร พลังงานทดแทน และการดูแลสุขภาพ

 

ความตกลง FTA ได้ช่วยผลักดันการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-UAE ให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยเพิ่มการส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่มของไทยไปยัง UAE และลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันของไทยจาก UAE

 

FTA นี้ยังเป็นโอกาสสำหรับไทยในการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้วยการสร้างหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกับ UAE โดยสามารถใช้เป็นประตูสู่ตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค

 

UAE เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์ปลากระป๋อง ปลาแช่แข็ง และเนื้อปลาปรุงแต่ง ไทยในฐานะเป็นผู้ผลิตสินค้าประมงรายใหญ่ ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลง FTA ซึ่งจะช่วยขจัดหรือลดภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้า จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นได้ ทำให้สินค้าประมงไทยเข้าสู่ตลาด UAE ได้ง่ายขึ้น

 

ผู้เข้าร่วมเสวนาได้ให้ความเห็นดังนี้:

Dubai Silk Road มีเป้าหมายเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์และโครงสร้างพื้นฐานของ UAE เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา โดย UAE ได้ลงทุนมหาศาลในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ระดับโลก ซึ่งรวมถึงท่าเรือ สนามบิน และทางหลวง เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์นี้

 

ดูไบยังได้พัฒนาเขตการค้าเสรีและเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น Dubai International Financial Centre (DIFC) และ Dubai Multi Commodities Center (DMCC) ซึ่งเสนอสิ่งจูงใจมากมายแก่นักธุรกิจ รวมถึงการยกเว้นภาษีและขั้นตอนที่คล่องตัว เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการซื้อขาย

 

กลยุทธ์ Dubai Silk Road เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการกระจายเศรษฐกิจในวงกว้างของ UAE ซึ่งพยายามลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันของประเทศ และสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจฐานที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี

 

ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง: ปัจจุบันคาดว่าทั่วโลกมีสุนัขมากกว่า 470 ล้านตัว และแมวประมาณ 370 ล้านตัว ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยมีศักยภาพที่จะขยายส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก โดยมีจุดแข็งในด้านวัตถุดิบคุณภาพสูง และราคาที่สามารถแข่งขันได้ สำหรับตลาด UAE การใช้ FTA จะช่วยให้ได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคา

 

ตลาดอาหารพร้อมรับประทาน (RTE) ใน UAE คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น วิถีชีวิตที่วุ่นวาย จำนวนผู้หญิงทำงานที่เพิ่มขึ้น ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้โดยนำเสนอตัวเลือกอาหาร RTE ที่หลากหลายซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคใน UAE ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพอาหารที่เข้มงวดของ UAE

 

โดยรวมแล้ว ความตกลง FTA ไทย-UAE ได้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้ง 2 ประเทศ และคาดว่าจะผลักดันการค้าทวิภาคีและการลงทุนให้เติบโตต่อไปในอนาคต

Public on 6th September 2022
Copyright of Thai Frozen Foods Association