การค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนธันวาคม 2565 การส่งออกมีมูลค่า 21,718.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 14.6% คิดเป็นมูลค่า 776,324 ล้านบาท หดตัวตัว 6.1% โดยภาวะการส่งออกของไทยช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 คาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุด ทั้งนี้ เดือนมกราคม 2566 คาดว่าจะส่งออกได้ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโต 3-5% โดยคาดว่าในไตรมาสแรกปี 2566 ส่งออกได้ 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ติดลบ 3-5% เพราะเติบโตน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 2 จะเริ่มฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจของจีน แต่ยังมั่นใจว่าส่งออกทั้งปีจะโตได้ 1-2%

สถานการณ์ค่าระวาง

จากข้อมูล Shanghai Containerized Freight Index (SCFI) เปรียบทียบอัตราค่าระวางระหว่างช่วงเดือนมกราคม พบว่าค่าระวางปรับลดลงในหลายเส้นทาง โดยเส้นทางที่ค่าระวางปรับลดลง ได้แก่ เส้นทางยุโรป เส้นทางเมดิเตอร์เรเนีย เส้นทางอเมริกฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก เส้นทงดูไข เส้นทางออสเตรเลีย เส้นทางแอฟริกาฝั่งตะวันตก และตะวันออก เส้นทางแอฟริกาใต้ เส้นทางอเมริกาใต้ และเส้นทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนเส้นทางที่ค่าระวางปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ เส้นทางญี่ปุ่นฝั่งตะวันตก ในขณะที่เส้นทางที่ค่ระวางคงที่ ได้แก่ เส้นทางญี่ปุ่นฝั่งตะวันออก และเส้นทางเกาหลี

ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการส่งออก

1. การเปิดประเทศของจีน ช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทยมีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น

2. ค่าระวางเรือปรับตัวลดลงในเส้นทางหลักเกือบทุกเส้นทาง

ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญ

1. ปริมาณสินค้าคงคลังของคู่ค้ายังคงทรงตัวในระดับสูง ส่งผลให้คู่ค้าชะลอคำสั่งซื้อสินค้า

2. ต้นทุนการผลิตยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ และจำเป็นต้องส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค

3. สถานการณ์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ส่งออกสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาต่อประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่มีค่าเงินอ่อนกว่าไทย

4. ราคาพลังงานในตลาดโลกยังคงมีความผันผวนตามสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ คาดราคาจะอยู่ที่ระดับ 80-90 ดอลลาร์/บาร์เรล

ข้อเสนอแนะของ TNSC

1. ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ขอให้ ธปท. รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนเร็วเกินกว่าประเทศคู่ค้าสำคัญ

2. ด้านต้นทุน

• ขอให้ ธปท. ทบทวนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเพิ่มมาตรการช่วยเหลือ SME ในซัพพลายเซนการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบดังกล่าวควบคู่กัน

• ขอให้ภาครัฐควบคุมหรือปรับขึ้นค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (FT) ในภาคการผลิตแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงพิจารณามาตรการสนับสนุน เพื่ออุดหนุนการใช้พลังงานทางเลือก เช่น มาตรการทางภาษี ลดหย่อนภาษี ในการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกอื่นทดแทนอาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar), พลังงานหมุนเวียน (Renewable) และพลังงานชีวมวล (Biomass) เป็นต้น

• ขอให้คณะกรรมการไตรภาคีพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างรอบคอบ สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

3. ด้านการค้าระหว่างประเทศ เร่งผลักดันกระบวนการเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ให้บรรลุผลโดยเร็ว